ค้นจาก
ชีวิตมันสั้นอยากทำอะไรต้องรีบทำ อย่ายึกยักหาข้ออ้างไม่ลงมือทำในสิ่งที่เรารักและมีความสุข รีบลงมือทำให้ต่างเพื่อให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างถ้าเบื่องานที่ทำอยากมีอิสระในการทำงาน ก็ต้องรู้จักวางแผนออมเงินเตรียมพร้อมไว้สำหรับการลงทุน มองหาช่องทางในการฝึกฝนเรียนรู้เพื่อเพิ่มหรือพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้ตัวเองอยู่เสมอ เมื่อคิดเปลี่ยนเริ่มต้นลงมือทำแล้วเราก็จะมองเห็นว่ามีโอกาสอยู่มากมาย หนทางใหม่ๆ จะเปิดออกให้คุณพบเจอ และเมื่อถึงจังหวะที่ใช่คุณก็จะได้เลือกทำตามแบบที่อยากทำ หลุดพ้นจากสิ่งจำเจที่ยิ่งทำก็ยิ่งลดความสุขของตัวเองลง 4. กล้าปฎิเสธหัดเกรงใจคนให้น้อยลง โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ควรเกรงใจ อย่าไปตกปากรับคำ "ได้ครับ ได้ค่ะ" ช่วยเหลือทุกคนที่ร้องขอ เพราะถ้ารับปากแล้วทำไม่ได้จะยิ่งแย่หนักเพิ่มความเครียดสะสมให้ตัวเองโดยใช่เหตุ พึงระลึกว่าเราไม่ใช่ยอดมนุษย์ไม่จำเป็นต้องดูแลเทคแคร์ทุกคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยดีไม่เคยเห็นค่าในตัวเรา เลือกแคร์ในคนที่เค้าแคร์และรักคุณ อย่าอดทนเป็นตัวเลือกให้ใคร ทำตัวเองให้มีค่า.. เลือกเป็นผู้เลือกที่ปากตรงกับใจ รู้จัก รู้ใจ และเข้าใจในตัวเอง 5.
'ภาพไม่สวย'?.. ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่เขาค้นพบด้วยตัวเองในวันนั้น จะเป็นกุญแจสำคัญที่เพิ่มรายได้ให้กับบริษัทเป็นเท่าตัว และต่อเนื่องจนกลายเป็นบริษัทหลายพันล้านดอลล่าในช่วงเวลาต่อมา และนี่ คือกระบวนการของ การคิดเชิงออกแบบ หรือ Design Thinking ทั้ง 5 ขั้นตอนครับ 5 ขั้นตอนของการคิดเชิงออกเเบบ.
การเน้นให้ผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-centered) การให้บริการต่าง ๆ จะเกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้ให้บริการกับลูกค้า ดังนั้น องค์กรจึงมีความจำเป็นที่จะต้องออกแบบการบริการโดยมีผู้ใช้/ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การให้ความใส่ใจกับลูกค้า และนำเสนอบริการตามที่ลูกค้าต้องการ นักออกแบบบริการจะต้องรู้จักใช้เครื่องมือและวิธีการ ต่าง ๆ ในการทำความเข้าใจประสบการณ์ของลูกค้าในเชิงลึกเสมือนกับเป็นตัวลูกค้าเอง ยิ่งไปกว่านั้น การบริการทั้งหลายที่ถูกออกแบบมานั้นควรจะมาจากประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้านด้วย 2. การสร้างคุณค่าร่วมกัน (Co-creative) ในการออกแบบบริการ ควรที่จะให้บุคคลที่เกี่ยวข้อง เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และออกแบบข้อเสนอทางด้านคุณค่า สำหรับการบริการ การมีส่วนร่วมในการออกแบบของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะทำให้การมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้นเมื่อมีการให้บริการจริง ทั้งยังจะช่วยให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงขึ้น และพนักงานทำงานได้ง่ายขึ้น 3. การจับเรียงลำดับ (Sequencing) เรื่องของระยะเวลาในการเข้าใช้บริการ เนื่องจากระยะเวลาของการรับบริการมีผลต่ออารมณ์ของลูกค้า การเรียงลำดับเพื่อแสดงความเชื่อมโยงของกิจกรรมแต่ละกิจกรรม และควรที่จะเข้าใจว่าในแต่ละกิจกรรม จะมีจุดที่มีปฏิสัมพันธ์ (touch point) กับลูกค้าในรูปแบบใดบ้าง และเป็นในรูปแบบทางตรงหรือทางอ้อม เช่น ใน รูปแบบทางตรงอาจจะเป็นจุดที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคล บุคคลกับเครื่องอัตโนมัติหรือระหว่างเครื่องจักรกับเครื่องจักร หรือในรูปแบบทางอ้อมจะเป็นในรูปแบบของการที่บุคคลอ่านรีวิวของลูกค้าคนอื่น หรือ การมีปฏิสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่อออนไลน์เป็นต้น 4.
5 หลักการคิดบวกออกแบบชีวิตให้มีความสุข June 26th, 2017 มุมมองที่เรามีต่อผู้อื่น ตลอดจนวิธีคิดที่เราเลือกใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตคือสิ่งที่กำหนดขนาดความสุขของชีวิตเรา ลองฝึกตัวเองให้เป็นคนมองโลกในมุมบวก ฝึกใจให้เปลี่ยนความคิดและลองทำตาม 5 แนวคิดนี้รับประกันได้เลยว่าทำแล้วชีวิตคุณจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ 1. เลือกมองอะไรในมุมกว้าง มองเรื่องต่างๆ แบบภาพรวม อย่าเลือกใส่ใจแค่จุดด่างเล็กๆ จนสร้างปัญหา เพราะบางทีจุดด่างมันเล็กนิดเดียวแต่เรากลับไปเลือกให้ค่าให้ความสนใจหงุดหงิดกับตำหนิเล็กๆ จนทำให้รอยดำที่แทบมองไม่เห็นขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเกินจริง ซึ่งเจ้ารอยดำนี้ก็เปรียบเหมือนเรื่องไม่ดีที่เราต้องหัดปล่อยผ่าน หยุดให้ความสนใจกับสิ่งเล็กน้อยที่สร้างความหงุดหงิด เลือกมองไปที่ภาพรวมให้เห็นในสิ่งที่จำเป็นกว่าหรือโอกาสที่จะขจัดปัญหาเรื่องแย่ๆ ให้มันหมดไป 2. ปล่อยวางได้ก่อนแล้วใจจะเป็นสุข แค่ปล่อยก็เบา เรื่องจริงที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เพราะถือไว้มากก็ต้องหนักกว่าปล่อยวาง ฉะนั้นเมื่อล้มเหลวหรือผิดพลาดต้องรีบลุกยืนใหม่ให้เร็ว เริ่มใหม่ให้ไว โอกาสมีอยู่เสมออย่ามัวเสียเวลานานไปกับการนั่งเสียดายบ่นถึงเรื่องเก่าที่ผ่านไปแล้ว เพราะไม่สร้างประโยชน์หรือคุณค่าอะไรให้กับชีวิต อยู่กับปัจจุบันปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ให้เร็วคุณก็จะหลุดพ้นและมีความสุขได้ไวขึ้นเท่านั้น 3.
กระบวนการของการคิดเชิงออกแบบ David Kelly ได้นำแนวคิดการคิดเชิงออกแบบมาใช้ในธุรกิจ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และแบ่งกระบวนการคิดของการคิดเชิงออกแบบออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. Empathize – เข้าใจปัญหา ขั้นแรกต้องทำความเข้าใจกับปัญหาให้ถ่องแท้ในทุกมุมมองเสียก่อน ตลอดจนเข้าใจผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย หรือเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการแก้ไขนี้เพื่อหาหนทางที่เหมาะสมและดีที่สุดให้ได้ การเข้าใจคำถามอาจเริ่มตั้งด้วยการตั้งคำถาม สร้างสมมติฐาน กระตุ้นให้เกิดการใช้ความคิดที่นำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ที่ดีได้ ตลอดจนวิเคราะห์ปัญหาให้ถ้วนถี่ เพื่อหาแนวทางที่ชัดเจนให้ได้ การเข้าใจในปัญหาอย่างลึกซึ้งถูกต้องนั้นจะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ตรงประเด็นและได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม โดยวิธีการทำความเข้าใจผู้ใช้อย่างลึกซึ้งทำได้ ดังนี้ 1. สังเกตสิ่งรอบตัวของผู้ใช้ ว่าจะเปิดกิริยาท่าทาง หรือของใช้ส่วนตัว สภาพแวดล้อมทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน เพื่อที่จะทำความเข้าใจชีวิตของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น 2. การสัมภาษณ์ ซึ่งมีเทคนิคในการสัมภาษที่จะได้ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง ดังนี้ ก่อนสัมภาษณ์ - กำหนดทีมสัมภาษณ์ 3 คน ต่อผู้ใช้ที่ให้สัมภาษณ์ 1 คน - การเตรียมคำถามปลายเปิดที่เกี่ยวกับปัญหา ความต้องการ ความจำเป็น ซึ่งควรเป็นคำถามกว้าง สัมภาษณ์ - สร้างความคุ้นเคย สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เปิดใจและให้ข้อมูลเชิงลึก หลังสัมภาษณ์ - ทบทวนข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์ แล้วสรุปเป็นประเด็นสำคัญๆ 2.