สันทราย จ. เชียงใหม่ เมื่อสองปีก่อนฝ่ายชาย ได้ย้ายมาสอนหนังสือที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ. สันป่าตอง ทำให้ทั้งสองโอกาสได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า พร้อมตา จนช่วงเดือนมี.
ประทีป แก้วดี หัวหน้าด่านตรวจจราจร สภ. เมืองชัยภูมิ เล่าว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ เจ้าหน้าที่จราจรก็เตรียมความพร้อมได้ทำการออกตั้งจุดอำนวยสะดวกด้านการจราจร และมีการตั้งด่านเพื่อกวดขันวินัยจราจรเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งขณะที่จะมีการจับกุม จนท. ได้ตั้งด่านปกติ จนกระทั่งพบรถจักรยานยนต์ที่ต้องสงสัยเหมือนจะขี่หนีไม่ยอมขับผ่านด่านน่าจะมีความผิด จึงทำการเรียกขอตรวจค้น กระทั่งพบว่าผู้ต้องหารายนี้มียาเสพติดหรือยาบ้าซุกซ่อนมาภายในรถด้วย จึงทำการจับกุม ก่อนที่จะส่งตัวให้กับชุดสืบสวน สภ. เมืองชัยภูมิ เพื่อทำการขยายผลเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line @Matichon ได้ที่นี่
จ. เชียงใหม่ เปิดเผยว่า หลังจากรับหนังสือร้องเรียนแล้ว เรื่องดังกล่าวหากมีข้อเท็จจริงถือว่าเป็นการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง หลังจากนี้จะได้นำข้อมูลพร้อมเอกสารหลักฐานต่างเสนอให้ผู้บริหารพิจารณา อีกครั้ง พร้อมกับตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆให้รัดกุม ซึ่งกรณีดังกล่าวหากพบว่ามีข้อเท็จจริง อาจะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบควบคู่ไปกับโรงเรียนต้นสังกัดของครูชายคนนี้ ขณะที่ทางผู้บริหารเองก็ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
กรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง "ก. พ. ค. ขอบอก" วันนี้ ขอพูดถึง "กรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง" ซึ่งเป็นคำที่ปรากฏอยู่ใน กฎ ก. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ. ศ. ๒๕๕๖ ว่ามีความสำคัญอย่างไรในกระบวนการดำเนินการทางวินัย โดยในหมวด ๕ ของกฎฉบับดังกล่าว ได้กล่าวถึงกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งไว้ ดังนี้ 1. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และได้รับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชา หรือให้ถ้อยคำรับสารภาพและได้มีการบันทึกถ้อยคำรับสารภาพเป็นหนังสือหรือมีหนังสือรับสารภาพต่อผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวน หรือคณะกรรมการสอบสวนวินัยแล้วถือเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ที่ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะพิจารณาดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได้ 2. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในกรณีต่อไปนี้ ถือเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 หรือผู้มีอำนาจตามมาตรา 94 จะพิจารณาดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได้ 2. 1 ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน โดยไม่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการอีกเลย และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ได้ดำเนินการหรือสั่งให้ดำเนินการสืบสวนแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ 2.
ศ. 2559 ได้มีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โรงพยาบาลจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ ซึ่งผู้อุทธรณ์ได้ลงนามในหนังสือยอมรับผิดตามข้อร้องเรียนว่าได้ทุจริตเงินค่ารักษาพยาบาลในช่วงปี พ. 2549 ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเห็นว่า ผู้อุทธรณ์ได้กระทำผิดจริงและเป็นกรณีที่ผู้อุทธรณ์ซึ่งมีหน้าที่ในการเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลจากผู้รับบริการ แต่กลับนำเงินดังกล่าวไปเป็นของตนเองโดยทุจริต ถือเป็นการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และจากการที่ผู้อุทธรณ์ได้ให้ถ้อยคำรับสารภาพ และได้มีการบันทึกถ้อยคำรับสารภาพเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการสืบสวนผู้มีหน้าที่สืบสวน และมีหนังสือยอมรับสารภาพว่าได้กระทำผิดทุกประเด็นตามข้อกล่าวหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ถือว่าเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามข้อ 65 (3) ของกฎ ก. พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ. 2556 ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได้ การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ตามมาตรา 85 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.
2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ตามนัยมาตรา 133 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. 2551 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการไปนั้น ระดับโทษเหมาะสมแล้ว อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น จึงวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ และโดยที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ระบุในคำสั่งลงโทษว่า ผู้อุทธรณ์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ตามมาตรา 85 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. 2551 ทั้งที่ผู้อุทธรณ์กระทำผิดเมื่อ พ. 2549 ซึ่งขณะนั้นพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ. 2535 ยังมีผลใช้บังคับอยู่ จึงเป็นการปรับบทความผิดที่ไม่ถูกต้อง จึงวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ และให้แก้ไขคำสั่งลงโทษให้เป็นการถูกต้องต่อไป ประเภทเนื้อหา วันที่ Fri, 2019/05/31 - 16:23