ธุรกิจแบบ Startup (สตาร์ทอัพ) เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ เพราะเป็นธุรกิจที่ใช้ไอเดียใหม่ๆ ในการเริ่มต้น เนื่องจากคนรุ่นใหม่มักมีพลังและความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก ประกอบกับปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากนิยมออกมาทำธุรกิจด้วยตนเอง ส่วนหนึ่งเพราะอยากเป็นนายตนเอง หรือทำตามความฝัน โดยธุรกิจแบบที่นิยมอย่างมากคือ ธุรกิจ Startup (สตาร์ทอัพ) ที่มีการแข่งขันสูง ถ้าประสบความสำเร็จก็จะเติบโตเร็วมาก แต่หลายคนอาจสับสนว่า Startup ( สตาร์ทอัพ) คืออะไรกันแน่ และแตกต่างจาก SME ( เอสเอ็มอี) อย่างไร? เราก็จะมาไขข้อสงสัยในส่วนนี้กัน Startup (สตาร์ทอัพ) คืออะไร? Startup คือ การเริ่มธุรกิจใหม่จากคนเพียงไม่กี่คน สร้างธุรกิจโดย มีแนวคิดเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันเป็นสำคัญ มักเริ่มจากเห็นช่องทางหรือโอกาสที่คนอื่นยังไม่เคยเห็น ธุรกิจ Startup มักมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด สามารถสร้างรายได้จำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นธุรกิจในด้านไอที อย่างแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น แอพพลิเคชั่นหาเพื่อนร่วมทางขึ้นรถคันเดียวกัน โดยบริษัทด้านไอทีชื่อดังอย่าง Facebook และ Google ก็เริ่มต้นจากการเป็น Startup มาก่อน SME (เอสเอ็มอี) คืออะไร?
ภาพของการลงทุนทำธุรกิจในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก สมัยก่อนนั้นการทำธุรกิจถูกมองเป็นเรื่องของคนที่มีเงินทุนหนา แต่ด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันมีธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หลักๆ คือ ธุรกิจแบบ SME และ ธุรกิจแบบ Startup ซึ่งเป็นรูปแบบของธุรกิจที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เงินทุนน้อยที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้เป็นอย่างดี สำหรับคนอยากทำธุรกิจแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง OfficeMate ชวนมาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจความแตกต่างของธุรกิจ SME และ Startup เพื่อเลือกรูปแบบของธุรกิจให้เหมาะสมกับตัวเองกัน! " เข้าใจความต่างของ ธุรกิจSME และ ธุรกิจStartup " ธุรกิจ SME มาจากศัพท์เต็มๆ ว่า Small and Medium Enterprise โดยความหมายตามคำศัพท์แปลว่า "วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม" ธุรกิจ Startup คำว่า Startup แปลตรงตัวว่า เริ่มต้นขึ้น เป็นการนำคำศัพท์มาใช้เรียกประเภทของธุรกิจที่มีลักษณะคือ เพิ่งเริ่มต้นก่อตั้ง หรือก่อการธุรกิจนั่นเอง ความต่างโดยลักษณะของธุรกิจ ธุรกิจ SME จะต้องมีลักษณะอยู่ในกรอบที่กฎหมาย "พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม พ. ศ.
ไม่มีทรัพย์สินถาวร หากไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่สามารถนำทรัพย์สินอื่น ๆ ไปขายทอดตลาดได้เหมือนกับ SMEs เรียกได้ว่าไม่มีมูลค่าทางธุรกิจแล้วนั่นเอง รู้ความแตกต่างของ SMEs กับ Startup แล้ว หากใครอยากสร้างธุรกิจของตัวเอง ก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเองให้ดี และต้องเข้าใจว่าทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสียเสมอ เพียงแต่เราต้องรู้ว่าจะจัดการยังไงให้ไปรอดเท่านั้นเอง
รอบตัวเรามีแต่เงิน มีนักลงทุนเดินชนกันไปมาตามถนน.. มีคนมีเงินมากมายที่มองหาธุรกิจที่จะเอาเงินไปลงทุน 'คนที่บอกว่า ไม่มีเงินทุน ไม่ได้แปลว่าเขาขาดเงิน แต่มันแปลว่า เขายังไม่พร้อม ความรู้ไม่พร้อม ความสามารถไม่พร้อม... ก็เลยไม่มีใครให้ทุนไง!! ' คุณจะมานั่งโลกสวย แล้วรอว่า เดี๋ยวจะมีเศรษฐีใจบุญ เอาเงินมาให้คุณ มันไม่มีหรอก ขั้นแรก เราต้องทำตัวให้ 'รู้พร้อม และความสามารถพร้อม ' ทำไงล่ะ? -- ก็ลงมือทำซิ เริ่มจากเข้า Internet หาข้อมูล ถามคน ค้นคว้าในเรื่องที่เราจะทำ.. จากนั้นก็ทดลองทำสินค้าออกมา ลองไปให้คนอื่นทดลองซิว่า คนคิดอย่างไรกับสิ่งที่เราทำ (ขั้นนี้ มันทำแล้วไม่ได้เงิน แต่มันได้องค์ความรู้ เป็นความรู้ที่เราค่อยๆสร้างขึ้นมาเองจากการค้นคว้าและปฏิบัติ... ขั้นนี้แหละที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยทำ) ขั้นที่สอง 'ขายจริง'... ขายที่ไหนล่ะ?...
Home Entrepreneur Start Up สตาร์ทอัพ 101: SME ต่างจาก Startup อย่างไร?
สรุปแบบสั้น ๆ SME กับ STARTUP ต่างกันอย่างไร?
เรายังไม่ต้องพูดกันว่าประเทศเพื่อนบ้านเขามีกันไปกี่ Unicorn แล้ว แต่สังคมไทยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ก็ยังคงแยกไม่ออกระหว่าง Start Up และ SME Start Up และ SME เริ่มต้นจากความเหมือน ก็คือการเป็น Entrepreneur หรือ การเป็นเถ้าแก่ ที่เป็นเจ้าของกิจการ แทนที่จะเป็นลูกจ้าง พนักงาน ข้าราชการ ฯลฯ และความเหมือน ก็สิ้นสุดลงที่จุดนี้ทันที!
SME ย่อมากจาก Small and medium Enterprises แปลได้ว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก SME เป็นการทำธุรกิจชนิดหนึ่งที่ ทำงานครอบคลุมทั้งด้านการผลิต จำหน่าย เป็นธุรกิจของเอกชนที่มีความอิสระ ไม่อยู่ใต้การควบคุมของธุรกิจหรือบุคคลอื่น มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ มีพนักงานจำนวนไม่มาก SME เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจขนาดใหญ่เพราะการเติบโตของธุรกิจทำให้มียอดการผลิตที่สูงขึ้น Startup ต่างกับ SME อย่างไร?
ขนาดธุรกิจ SMEs: มีขนาดย่อม – ขนาดกลาง – SMEs ขนาดย่อม ด้านการผลิตสินค้าและบริการ จำนวนการจ้างงานต้องไม่เกิน 50 คน ขนาดกลางไม่เกิน 200 คน – SMEs ขนาดย่อม ด้านการค้าส่ง จำนวนการจ้างงานต้องไม่เกิน 25 คน ขนาดกลางไม่เกิน 50 คน – SMEs ขนาดย่อม ด้านการค้าปลีก จำนวนการจ้างงานต้องไม่เกิน 15 คน ขนาดกลางไม่เกิน 30 คน Startup: ช่วงเริ่มต้นจะมีขนาดเล็กมาก แต่ถ้าสำเร็จยิ่งใหญ่มาก 2. รูปแบบธุรกิจ SMEs: เป็นสินค้าหรือบริการที่มีอยู่แล้ว โดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น และสามารถช่วยให้กระบวนการผลิตหรือการบริการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น Startup: เป็นการสร้างสิ่งใหม่เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างหรือใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาช่วย คอยปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น แอปพลิเคชัน Grab 3. แหล่งเงินทุนที่ใช้เริ่มต้นธุรกิจ SMEs: เงินลงทุนมาจากเจ้าของกิจการเองหรือจากการกู้ยืม Startup: อาศัยการลงทุนร่วม หากนักลงทุนมีความสนใจในตัวธุรกิจดังกล่าวก็จะลงทุนให้ก่อน เพื่อผลประโยชน์ในอนาคต 4. รูปแบบทรัพย์สิน SMEs: สินทรัพย์ที่จับต้องได้ Startup: สินทรัพย์ทางปัญญา 5. การเติบโตของธุรกิจ SMEs: เติบโตแบบคงที่ และอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ Startup: เติบโตแบบก้าวกระโดด ภายในระยะเวลาอันสั้น 6.
ได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาล ได้แก่ สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกรมสรรพากร การสนับสนุนกิจการหรืออุตสาหกรรมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม อุตสาหกรรมสร้างสรรค์และดิจิทัล เป็นต้น 2. การสนับสนุนสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม เช่น การวางมาตรฐานและกฎเกณฑ์ที่จำเป็น ความปลอดภัยจากการคุกคามโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และ Startup Thailand 3. การสนับสนุนสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมจากภาคเอกชน เช่น True Digital Park, 500TukTuks, KBTG, InVent by Intouch เป็นต้น 4. ไม่ต้องใช้เงินทุนของตัวเองมากนัก เพราะมีนักลงทุนลงทุนให้ก่อน 5. อาจมีธุรกิจ Startup ที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทำให้เติบโตง่ายและเร็วขึ้น เช่น Wongnai กับ LINE MAN ข้อเสียของ Startup 1. มีความเสี่ยงด้านการเงิน ด้วยความเป็นธุรกิจใหม่ จึงต้องใช้เงินในการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์และเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมีการแย่งฐานผู้ใช้งานระหว่างกันอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงขาดทุน 2. เสี่ยงไม่ประสบความสำเร็จสูงมาก เนื่องจากไอเดียใหม่ ๆ บางอย่างอาจไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคเท่าที่ควร 3.